วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ศัพท์ที่ควรรู้

ศัพท์ที่ควรรู้
Financial Document  เอกสารทางการเงิน
1.  Bill of exchange
     ตั๋วแลกเงิน คือ ตราสารการเงินระยะสั้น ที่บุคคลรายหนึ่งสั่งให้บุคคลอีกรายหนึ่ง จ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในตั๋วแลกเงินนั้น ให้แก่บุคคลอีกรายหนึ่ง ในวันที่กำหนดบนหน้าตั๋วแลกเงินนั้น ตั๋วแลกเงินสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ในตลาดเงิน (money market) ส่วนใหญ่จะมีธนาคารหรือสถาบันการเงินค้ำประกัน หรือรับรอง หรือรับอาวัล หรือสลักหลังอย่างไม่มีเงื่อนไข ตั๋วเงินชนิดหนึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหนี้ มักใช้ในการซื้อขายสินค้าหรือกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคาร โดยทั่วไปสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้การออกตั๋วแลกเงิน
2.  Draft 
      ดราฟต์ (Demand Draft) คือตราสารทางการเงิน หรือ ตั๋วแลกเงินของธนาคาร ที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินเป็นผู้ออกและสั่งให้ธนาคารตัวแทน (Correspondent Bank) หรือสาขาของตนในต่างประเทศจ่ายเงินจำนวนหนึ่งตามที่ระบุในดราฟต์ ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ที่มีชื่อระบุไว้บนดราฟต์
        ตั๋วแลกเงินหรือดราฟต์ (Bill of Exchange or Drafts) ในกรณีนี้ผู้ออกตั๋วเป็นผู้สั่งให้อีกบุคคลหนึ่งจ่ายให้แก่ตน หรือจ่ายให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งตามคำสั่ง โดยที่ตั๋วแลกเงินนั้นก็คือ หนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งบุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้จ่ายให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในกรณีตั๋วแลกเงินนั้นมีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องถึงสามฝ่ายด้วยกันคือ ผู้สั่งจ่าย (Drawer) ผู้รับคำสั่งให้จ่ายหรือผู้จ่าย (Drawee) และผู้รับเงิน (Payee ) แต่ในบางกรณีอาจจะมีเพียงสองฝ่ายก็ได้ คือ ผู้สั่งจ่ายและผู้รับเงินเป็นบุคคลเดียวกัน
        ตั๋วแลกเงินแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ ตั๋วแลกเงินภายในประเทศ และตั๋วแลกเงินต่างประเทศ สำหรับตั๋วแลกเงินต่างประเทศ ตั๋วแลกเงินจะบังคับได้ในกรณีผู้ถูกสั่งให้จ่ายหรือผู้จ่ายต้องได้มีการรับรองการจ่ายเงิน (Accepted) บนหนังสือตราสารนั้น
3.  Cheque
      เช็ค  คือ ก็เป็นตั๋วแลกเงินลักษณะหนึ่ง แต่ผู้จ่ายเงินเป็นธุรกิจของสถาบันการเงินรูปหนึ่งที่เรียกว่า ธนาคาร ซึ่งเช็คก็คือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่าผู้รับเงิน
4. Bill of Collection
       คือ   การเรียกเก็บเงินตามตราสารเพื่อลูกค้าเป็นบริการที่ธนาคารให้แก่ลูกค้าที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารด้วยการเรียกเก็บเงินตามเช็ค  ดราฟต์ ตั๋วแลกเงิน  และตราสารทางการเงินอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันให้แก่ลูกค้า เมื่อเรียกเก็บเงินได้ ธนาคารจะนำเงินเข้าบัญชีให้ลูกค้า ธนาคารให้บริการเรียกเก็บเงินทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศโดยธนาคารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากลูกค้า
5. Bonds
       คือ พันธบัตร (Bond) เป็นสัญญาที่ออกโดยผู้ขอกู้ยืม โดยจะมีสัญญาข้อผูกมัดที่ว่า ผู้ออกพันธบัตร (หรือผู้ขอกู้ยืม) จะต้องจ่ายผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) ให้กับผู้ถือพันธบัตร (ผู้ให้กู้) ตามอัตราและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพันธบัตร
6.  Stock
      คลังสินค้า, พัสดุ, สินค้าในร้าน, สต๊อค, ของสะสม, จำนวนที่สะสมไว้,ก้าน, ด้าม, โคนต้น, ลำต้น, ตอไม้, เขียงไม้, ฐาน, ก้านสมอเรือ,ปศุสัตว์, บริษัทหุ้นส่วน, หลักทรัพย์ของบริษัท, พันธบัตร, ไม้ค้ำเรือ,แท่นต่อเรือ, ไม้หมอนใต้ท้องเรือ, พืชพันธ์, เชื้อสาย adj. มีอยู่ในร้าน
Transport Documentเ อกสารการขนส่ง
1. Bill of Lading 
                ใบเบิก ใบเบิก ( BL -- บางครั้งเรียกว่าBOLหรือB / L ) เป็นเอกสารที่ออกโดยเป็นผู้ให้บริการไปยังผู้ส่ง , ยอมรับว่าไม่ระบุสินค้าที่ได้รับในคณะกรรมการเป็นสินค้าสำหรับการขนส่งไปยังสถานที่ที่มีชื่อสำหรับการจัดส่งไปที่ผู้รับตราส่งที่มักจะมีการระบุ ผ่านใบเบิกเกี่ยวข้องกับการใช้เวลาอย่างน้อยสองโหมดที่แตกต่างของการขนส่งจากถนน, ทางรถไฟทางอากาศและทางทะเล คำที่มาจากคำกริยา"ในการรับภาระ"ซึ่งหมายความว่าการโหลด[ ชี้แจงจำเป็น ]สินค้าลงเรือหรือรูปแบบอื่นของการขนส่งที่
                ใบเบิกสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุซื้อขาย ค่ารูปแบบมาตรฐานระยะสั้นของน้ำหนักบรรทุกเป็นหลักฐานของสัญญาของการขนส่งสินค้าและบริการจำนวนของวัตถุประสงค์ :
                มันเป็นหลักฐานที่แสดงว่าเป็นสัญญาที่ถูกต้องของการขนส่งหรือการทำสัญญาเช่าเหมาลำที่มีอยู่และอาจรวมการเต็มรูปแบบของสัญญาระหว่างผู้ตราส่งและผู้ให้บริการโดยอ้างอิง (เช่นรูปแบบสั้น ๆ เพียงหมายถึงการทำสัญญาหลักเป็นเอกสารที่มีอยู่ ในขณะที่แบบยาวของการเรียกเก็บเงินจากการบรรทุก ( connaissement หนึ่ง ) ที่ออกโดยผู้ให้บริการชุดออกทั้งหมดตามเงื่อนไขของสัญญาการขนส่ง;
                มันเป็นใบเสร็จรับเงินที่ลงนามโดยผู้ให้บริการยืนยันว่าสินค้าที่ตรงกับคำอธิบายสัญญาที่เราได้รับอยู่ในสภาพดี (Bill จะได้รับการอธิบายเป็นที่สะอาดหากสินค้าที่ได้รับบนกระดานอยู่ในสภาพดีชัดเจนและ stowed พร้อมสำหรับการขนส่ง); และ
                นอกจากนี้ยังเป็นเอกสารของการถ่ายโอนให้เป็นอิสระสามารถโอนเปลี่ยนมือได้ แต่ไม่เป็นตราสารเปลี่ยนมือในแง่ของกฎหมายคือมันควบคุมทุกด้านของการขนส่งทางกฎหมายทางกายภาพและเช่นตรวจสอบหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่น ๆ ก็อาจจะมีผลกระทบต่อเจ้าของความเห็นชอบของ สินค้าจริงจะถูกดำเนินการ นี้ตรงกับประสบการณ์ใน                ชีวิตประจำวันที่สัญญามีบุคคลที่อาจจะทำให้กับผู้ให้บริการในเชิงพาณิชย์เช่น FedEx สำหรับพัสดุส่วนใหญ่เป็นสายการบินที่จะแยกจากสัญญาสำหรับการขายสินค้าที่จะดำเนินการใด ๆ แต่ก็ผูกให้บริการไปตามข้อกำหนดของ irrespectively ของ ที่ผู้ถือครองที่แท้จริงของ B / L, และเป็นเจ้าของของสินค้าที่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง
2. Airway Bill
                ใบตราส่งทางอากาศ (AWB) หรือเป็นเอกสารที่สำคัญที่สุดที่ออกโดยผู้ให้บริการโดยตรงหรือผ่านตัวแทนที่ได้รับอนุญาต มันเป็นเอกสารการขนส่งที่ซื้อขายไม่ได้ มันครอบคลุมการขนส่งของการขนส่งสินค้าจากสนามบินไปยังสนามบิน โดยการรับส่งสินค้าเป็นตัวแทนขนส่งสินค้าทาง IATA จะกระทำในนามของผู้ให้บริการที่มีใบตราส่งทางอากาศออกเป็น
AWBs มีสิบเอ็ดตัวเลขที่สามารถใช้เพื่อให้การจอง, ตรวจสอบสถานะของการส่งมอบและตำแหน่งปัจจุบันของการจัดส่ง จำนวนประกอบด้วย :
                1 ตัวเลขสามตัวแรกจะมีคำนำหน้าสายการบิน สายการบินต่างๆได้รับการกำหนดหมายเลข 3 หลักโดย IATA ดังนั้นจากคำนำหน้าเราทราบว่าสายการบินได้ออกเอกสาร
                2 ถัดไปเจ็ดหลักเป็นจำนวนที่ทำงาน / s -- จำนวนหนึ่งสำหรับแต่ละสินค้าฝากขาย
                3 หลักสุดท้ายคือสิ่งที่เรียกตรวจสอบหลัก มันเป็นมาถึงที่ในลักษณะดังต่อไปนี้
ตัวเลขเจ็ดหลักที่ใช้จะถูกแบ่งออกโดย 7 โดยใช้การคำนวณการหารยาว ส่วนที่เหลือจะกลายเป็นหลักการตรวจสอบ นั่นคือเหตุผลที่ไม่มีหมายเลข AWB ลงท้ายด้วยตัวเลขที่สูงกว่า 6 waybills แอร์จะออกในชุดของสีที่แตกต่างกัน สามตัวแรกสำเนาถูกจัดประเภทเป็นต้นฉบับ แรกเดิมสีฟ้าในสีเป็นสำเนาส่งของ ที่สองสีฟ้าสีจะถูกเก็บไว้โดยผู้ให้บริการออก ที่สาม, สีส้ม, เป็นสำเนาของผู้รับ สำเนาสีเหลืองทำหน้าที่เป็นใบเสร็จรับเงินการส่งมอบหรือหลักฐานการจัดส่ง *. สำเนาอื่น ๆ ที่มีสีขาวทั้งหมด
มีวัตถุประสงค์หลายอย่างที่ใบตราส่งทางอากาศทำหน้าที่มี แต่ฟังก์ชั่นหลักคือ
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->สัญญาของการขนส่ง ทุกหลังเดิมของ AWB เงื่อนไขของสัญญาการขนส่งทางอากาศที่มี
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->หลักฐานของการได้รับสินค้า
                เมื่อส่งมอบสินค้าที่จะส่งต่อเขาจะได้รับใบเสร็จรับเงิน ใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานว่าการจัดส่งได้ส่งมอบในลำดับที่ดีและเงื่อนไขและยังให้คำแนะนำในการจัดส่งสินค้าที่มีอยู่ในหนังสือเป็นผู้ขนส่งสินค้าของใช้, เป็นที่ยอมรับ หลังจากเสร็จสิ้นการเป็นสำเนาต้นฉบับของใบตราส่งทางอากาศที่มอบให้แก่ผู้ส่งไว้เป็นหลักฐานของการยอมรับของสินค้าและเป็นหลักฐานของสัญญารับขน
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->บิลค่าระวาง
                ใบตราส่งทางอากาศที่อาจถูกใช้เป็นค่าหรือใบแจ้งหนี้พร้อมเอกสารประกอบเพราะมันอาจบ่งบอกถึงค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายโดยผู้รับค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตัวแทนหรือผู้ให้บริการ สำเนาต้นฉบับของใบตราส่งทางอากาศที่ใช้สำหรับการบัญชีผู้ให้บริการของ
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->รับรองการประกอบธุรกิจประกันภัย
                ใบตราส่งทางอากาศนอกจากนี้ยังอาจใช้เป็นหลักฐานหากผู้ให้บริการที่อยู่ในตำแหน่งเพื่อประกันการส่งสินค้าและมีการร้องขอให้ทำตามผู้ส่ง
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->ประกาศศุลกากร
                แม้ว่าเจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องยื่นเอกสารต่างๆเช่นใบแจ้งหนี้การค้าที่บรรจุรายชื่อ, ฯลฯ ใบตราส่งทางอากาศมากเกินไปจะเป็นหลักฐานของจำนวนเงินที่เรียกเก็บเงินจากการขนส่งสินค้าสำหรับสินค้าที่ดำเนินการและอาจมีความจำเป็นที่จะนำเสนอสำหรับพิธีการศุลกากรรูปแบบของใบตราส่งทางอากาศที่ได้รับการออกแบบ โดย IATA และเหล่านี้สามารถที่จะใช้สำหรับในประเทศทั้งสองรวมทั้งการขนส่งระหว่างประเทศ เหล่านี้จะใช้ได้ในสองรูปแบบ ได้แก่ โลโก้สายการบินพร้อมมอบใบตราส่งทางอากาศและอากาศที่เป็นกลางใบตราส่งทางอากาศ โดยปกติ waybills อากาศสายการบินมีการกระจายไปยังตัวแทน IATA สินค้าโดย IATA สายการบิน waybills อากาศแสดง :
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->ชื่อผู้ให้บริการของ
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->ที่อยู่สำนักงานใหญ่
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->โลโก้ของ
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->ก่อนสิบเอ็ดอากาศพิมพ์ตัวเลขใบตราส่งทางอากาศ
                นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่จะเสร็จสมบูรณ์ใบตราส่งทางอากาศผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ตัวแทนทั่วโลกตอนนี้ใช้ของตัวเองในบ้านระบบคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ไขปัญหาสายการบินและการขนส่งสินค้าส่งต่อ'waybills อากาศของตัวเอง IATA ตัวแทนขนส่งสินค้ามักจะถือ waybills อากาศของผู้ให้บริการหลาย แต่ก็ค่อยๆกลายเป็นเรื่องยากที่จะรองรับเหล่านี้ก่อนเลข waybills อากาศที่มีบัตรประจำตัวที่พิมพ์ออกมาในระบบคอมพิวเตอร์ ดังนั้นอากาศที่เป็นกลางใบนำส่งสินค้าได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งสองประเภทของ waybills อากาศมีรูปแบบเดียวกันและรูปแบบ อย่างไรก็ตามในใบนำส่งสินค้าทางอากาศที่เป็นกลางไม่แบกใด ๆ ก่อนพิมพ์ชื่อบุคคลที่อยู่สำนักงานใหญ่โลโก้และหมายเลข
3. Railway Bill   ใบตราส่งสินค้ารถไฟ
4. Roadway Bill   ใบตราส่งสินค้าถนน
5. Certificate of Posting    รั บรองการโพสต์
6.  CMR
7.  TIR

Commercial Document   เอกสารพาณิชย์
1. invoice   
                ใบกำกับภาษี (อังกฤษ: Tax Invoice) คือ เอกสารหลักฐานสำคัญ ซึ่งผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องจัดทำและออกให้กับผู้ซื้อสินค้าหรือบริการทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือบริการ เพื่อแสดงมูลค่าของสินค้าหรือบริการและจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนเรียกเก็บหรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือบริการในแต่ละครั้ง
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->กรณีการขายสินค้า ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีพร้อมทั้งส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อในในทันทีที่มีการส่งมอบสินค้าให้กับผู้ซื้อ
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->กรณีการให้บริการ ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีพร้อมทั้งส่งมอบให้แก่ผู้รับบริการในทันทีที่ได้รับชำระราคาค่าบริการ
     ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องจัดทำใบกำกับภาษีอย่างน้อย 2 ฉบับ ดังนี้
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->ต้นฉบับ ผู้ประกอบการต้องส่งมอบให้กับผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->สำเนา ผู้ประกอบการต้องเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการลงรายงานภาษีเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันที่ทำรายงาน
2. packing list   รายการบรรจุ
3. weight list   รายการน้ำหนัก
4. certificate of origin   หนังสือรับรองแหล่งกำเนิด
5. health certificate    ใบรับรองสุขภาพ
6. inspection certificate   การตรวจสอบใบรับรอง
7. insurance certificate   ใบรับรองการประกัน
8. phytosanitary certificate   ใบรับรองสุขอนามัยพืช
9. fumigation certificate   ใบรับรองรมควัน
10. certificate of analysis     ใบรับรองการวิเคราะห์
11. sanitary certificate    ใบรับรองสุขอนามัย
12.  Entreport Certificates   ใบรับรอง Entreport
13.  Shipping Line Certificates   การจัดส่งสินค้าใบรับรองสาย
14.  Measurement Certificates   ใบรับรองการวัด
ข้อมูลจาก
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/
http://www.kgieworld.co.th/th/Fi/FixedIncome_BondEducation.asp#1_1
http://en.wikipedia.org/wiki/Bill_of_lading

Border Trade

Border Trade
Countertrade  คือ    การแลกเปลี่ยนหมายถึงสินค้าหรือบริการที่จะได้รับเงินสำหรับในทั้งหมดหรือบางส่วนให้กับสินค้าหรือบริการอื่น ๆ มากกว่าด้วยเงิน การประเมินมูลค่าทางการเงิน แต่จะสามารถใช้ในการค้าเคาน์เตอร์เพื่อวัตถุประสงค์ในการบัญชี ในการติดต่อระหว่างรัฐอธิปไตยคำว่าการค้าทวิภาคีจะใช้ หรือ"ทำธุรกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการสำหรับสิ่งที่มีค่าเท่ากับ."
Drawback   คือ   ข้อเสียเปรียบในกฎหมายในการค้า , การจ่ายเงินกลับหน้าที่จ่ายเงินก่อนหน้านี้ในการส่งออกที่ต้องเสียภาษีหรือบทความเกี่ยวกับสินค้าจากต่างประเทศอีกครั้งการส่งออก วัตถุของข้อเสียเปรียบคือการปล่อยให้สินค้าที่อาจมีการจัดเก็บภาษีส่งออกและจำหน่ายในต่างประเทศตามเงื่อนไขเช่นเดียวกับสินค้าจากประเทศที่พวกเขาจะไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งแตกต่างจากความโปรดปรานในการที่โปรดปรานจะช่วยให้สินค้าที่จะขายในต่างประเทศที่ต่ำกว่าราคาต้นทุนของพวกเขาก็อาจจะเกิดขึ้น แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้เสียเปรียบมีผลเท่ากับว่าของโปรดปรานเช่นในกรณีของ ที่เรียกว่าโปรดปรานน้ำตาลในเยอรมนี (ดูน้ำตาล ) ก่อนหน้านี้อัตราภาษีที่มีตารางที่ซับซ้อนของเสียได้รับอนุญาตในการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์หรือ re - การส่งออก แต่เท่าที่สหราชอาณาจักรเป็นห่วง (ณ 1911) ระบบของการคลังสินค้าถูกผูกมัดข้อบกพร่องยกเลิกจวนเป็นสินค้าที่สามารถwarehoused (วางไว้ในพันธบัตร ) จนกว่าจะจำเป็นสำหรับการส่งออก
Foreign market value (FMV)    มูลค่าต่างประเทศ
Consumer durables      
     คงทนของผู้บริโภค  คือ ในเศรษฐศาสตร์มีความทนทานดีหรือยากดีเป็นดีที่ไม่ได้สวมใส่ได้อย่างรวดเร็วออกหรือมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้สาธารณูปโภคในช่วงเวลาแทนที่จะสมบูรณ์บริโภคในการใช้งาน รายการเช่นอิฐหรือเครื่องประดับที่อาจจะพิจารณาสินค้าคงทนที่ดีที่สุดเพราะพวกเขาควรจะในทางทฤษฎีไม่เคยใส่ออก สินค้าคงทนสูงเช่นตู้เย็น , รถยนต์ , หรือโทรศัพท์มือถือมักจะดำเนินการต่อไปจะมีประโยชน์สำหรับสามปีหรือมากกว่าในการใช้งาน[ 1 ]ดังนั้นสินค้าคงทนมีลักษณะโดยทั่วไปเป็นระยะเวลานานระหว่างการสั่งซื้อต่อเนื่อง
     ตัวอย่างของสินค้าคงทนของผู้บริโภครวมถึงรถยนต์, ของใช้ในครัวเรือน ( เครื่องใช้ในบ้าน , อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค , เฟอร์นิเจอร์ , ฯลฯ ), อุปกรณ์กีฬาและของเล่น .
Black market 
        ตลาดดำ  คือการค้าสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายในตัวเองและ / หรือกระจายผ่านทางช่องทางที่ผิดกฎหมายเช่นการขายของสินค้าที่ถูกขโมยยาเสพติดบางอย่างหรือปืนที่ไม่ได้จดทะเบียน สองประเภทหลักของตลาดสีเทาจะถูกนำเข้าสินค้าที่ผลิตที่ปกติจะใช้งานไม่ได้หรือแพงขึ้นในบางประเทศและหลักทรัพย์ unissued ที่ไม่ได้มีการซื้อขายในตลาดยังอย่างเป็นทางการ บางครั้งคำว่าตลาดที่มืดใช้เพื่ออธิบายความลับ, อลหม่าน (แต่มักจะถูกต้องตามกฎหมายในทางเทคนิค) ในการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์น้ำมันดิบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2008 [ 3 ]นี้จะถือว่าเป็นชนิดที่สามของ"ตลาดสีเทา"เนื่องจากมันถูกต้องตามกฎหมายยัง ระเบียบและอาจจะไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือผู้มีอำนาจอย่างชัดเจนโดยผู้ผลิตน้ำมัน
Gray market goods   
        การตลาดสีเทา    คือ   ตลาดสีเทาหรือตลาดสีเทายังเป็นที่รู้จักในตลาดขนาน[
                 1 ] คือการค้าของสินค้าผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายซึ่งในขณะที่กฎหมายเป็นทางการได้รับอนุญาตหรือไม่ได้ตั้งใจโดยผู้ผลิตเดิม ระยะที่เศรษฐกิจสีเทาแต่หมายถึงคนงานการจ่ายเงินใต้โต๊ะโดยไม่ต้องจ่ายภาษีรายได้หรือส่วนร่วมในการบริการสาธารณะเช่นประกันสังคมและ Medicare
                  2 ] มันเป็นบางครั้งเรียกว่าเป็นเศรษฐกิจใต้ดินหรือ"เศรษฐกิจซ่อน."
Re-export   คือ  ได้นั้น เป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาแล้วและไม่ได้ผ่านกระบวนการผลิตหรือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือลักษณะใดเพิ่มเติม หรือของที่นำเข้ามาเพื่อเป็นของใช้สิ้นเปลืองสำหรบยานพาหนะที่เดินทางไปต่างประเทศ เช่นน้ำมัน หรือภาชนะที่พ่วงมากับสินค้านำเข้าและต้องส่งกลับประเทศที่ส่งออกมา
โดยปกติ แล้วสินค้านำเข้ามาในประเทศจะถูกจัดเก็บภาษี แต่ถ้าเป็นสินค้าประเภท Re-Export ซึ่งถือว่าเป็นสินค้านำเข้าเช่นกันแต่มีเงื่อนไขแตกต่างกันคือ ถูกส่งออกอีกครั้งนั้น จะมีวิธีการเก็บภาษีอากรแตกต่างกันไป ก่อนอื่นขอกล่าวถึง รูปแบบการเข้ามาของสินค้า Re-Export ว่ามีอยู่ 2 แบบ ดังนี้
                1.แบบในอารักขาของกรมศุลกากร คือ สินค้านำเข้ามาแล้วยังอยู่ในการดูแลของกรมศุลกากร และเมื่อสินค้าหรือของนั้นเข้ามา ผู้นำเข้าพร้อมทำเรื่องแจ้งนำเข้า และส่งออกในเวลาเดียวกัน สินค้า Re-Export แบบนี้จะต้องชำระภาษีอากรไม่เกินราคา 1 ใน 10 โดยคำนวณตามใบขนสินค้าขาออกแต่ละฉบับ (Invoice)แต่ไม่เกิน 1,000 บาท
                2.แบบนอกอารักขาของกรมศุลกากร คือ เมื่อสินค้าเข้ามาใน
ประเทศก็ชำระภาษีอากรนำเข้าตามปกติแล้ว ต่อมาส่งของนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนไปต่างประเทศ และสามารถมายื่นเรื่องขอคืนภาษีอากรนำเข้าตามอัตราส่วนสินค้านำเข้าที่ส่งออกต่อไป
                การทำ Re-Export สำหรับในกรณีที่ 2 นี้ ต้องอยู่ในข้อบังคับด้วยว่าส่งออกสินค้าหรือวัสดุนั้นไปภายในหนึ่งปีนับแต่วันนำเข้าและต้องขอคืนอากรภายในหกเดือนนับแต่วันที่ส่งของนั้นออกไป ตามมาตรา 19 สำหรับสินค้า Re-Export ตามพระราชบัญญัติศุลกากร
Agribusiness
                ธุรกิจการเกษตร  คือ  หมายถึง  กระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสาขาเกษตรและสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งครอบคลุมถึงการผลิตพืช  การเลี้ยงสัตว์  การเพาะเลี้ยงสัตว์และจับสัตว์น้ำ รวมทั้งการผลิตปัจจัยการผลิตธุรกิจการรวบรวมสินค้าจากเกษตรกร  การแปรรูป  การขายปลีก  การขายส่ง  การเก็บรักษา  การขนส่งสินค้าไปสู่ผู้บริโภค  และผู้ใช้ภายในประเทศและต่างประเทศ  และรวมถึงสินเชื่อ
Delivered at frontier
        คำที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศเช่นการส่งมอบที่ชายแดนเค้าร่างที่ความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายในการขนส่งของสินค้าที่อยู่ภายใต้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ความหลากหลายของเงื่อนไขที่มีอยู่สำหรับวิธีการต่างๆของการขนส่ง ส่งที่ชายแดนมักใช้เมื่อใช้การขนส่งภาคพื้นดินเช่นรถบรรทุกหรือรถไฟที่จะจัดหาสินค้าที่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักว่าเพราะนี้เป็นคำทางกฎหมาย, ความหมายที่แท้จริงของมันคือความซับซ้อนมากขึ้นและแตกต่างกันไปตามประเทศ มันจะแนะนำให้คุณติดต่อทนายความการค้าระหว่างประเทศก่อนที่จะใช้ระยะเวลาการค้าใด ๆ
Import quota
                คือ  โควต้านำเข้าเป็นประเภทของการกีดกัน ทางการค้าข้อ จำกัดที่กำหนดขีด จำกัด ทางกายภาพเกี่ยวกับปริมาณของที่ดีที่สามารถนำเข้ามาในประเทศในช่วงเวลาที่กำหนด[ 1 ]โควต้าเช่นเดียวกับข้อ จำกัด ทางการค้าอื่น ๆ จะถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ ผู้ผลิตที่ดีในเศรษฐกิจภายในประเทศที่ค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคทั้งหมดของดีในทางเศรษฐกิจที่
โควต้านักวิจารณ์กล่าวมักนำไปสู่​​ความเสียหาย (สินบนที่จะได้รับการจัดสรรโควต้า), การลักลอบขน (circumventing โควต้า) และราคาที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค
                ในทางเศรษฐศาสตร์, โควต้ามีความคิดที่จะน้อยกว่าทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพกว่าภาษีซึ่งจะมีการเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าการค้าเสรี .

Embargo  
      การห้ามส่งสินค้า คือ  การห้ามไม่ให้ประเทศใดประเทศหนึ่งทำการติดต่อค้าขายโดยการส่งสินค้าไปขายหรือสั่งซื้อสินค้า  โดยถือว่าประเทศนั้นเป็นศัตรูของตน  คำสั่งห้ามส่งสินค้านี้ส่วนใหญ่จะใช้ในภาวะของสงครามและการกระทำกับประเทศคู่สงครามและการกระทำกับประเทศคู่สงครามหรือบางครั้งมีคำสั่งในช่วงภาวะปกติไม่ใช่สงคราม  เป็นภาวะชั่วคราวปกติไม่ใช่สงคราม  เป็นภาวะชั่วคราวของการกีดกันทางการค้าดพื่อหวังผลกดดันทางการเมือง
Foreign direct investment (FDI)
       คือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ( FDI ) หรือการลงทุนต่างประเทศหมายถึงเงินทุนไหลเข้าสุทธิจากการลงทุนที่จะได้รับความสนใจการจัดการที่ยั่งยืน (ร้อยละ 10 หรือมากกว่าของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง) ในการดำเนินงานขององค์กรในทางเศรษฐกิจอื่น ๆ กว่าที่ของผู้ลงทุน[ 1 ]มันเป็น ผลรวมของทุน, การลงทุนใหม่ของรายได้ของเงินทุนระยะยาวอื่นและเงินทุนระยะสั้นตามที่แสดงในที่สมดุลของการชำระเงิน . มันมักจะเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในการจัดการ , ร่วมทุน , การถ่ายโอนเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญ . ขาเข้าโดยตรงจากต่างประเทศมีสองประเภทของการลงทุนโดยตรงจะมีการลงทุนและขาออกการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศส่งผลให้กำไรสุทธิ FDI ที่ไหลเข้ามา (บวกหรือลบ) และ"สต็อกของการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ"ซึ่งเป็นจำนวนที่สะสมสำหรับช่วงเวลาที่กำหนด ไม่รวมการลงทุนโดยตรงจากการลงทุนผ่านการซื้อหุ้น . [ 2 ] FDI เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเคลื่อนย้าย
Consumer goods
       สินค้าเพื่อบริโภค  คือ สินค้าหรือบริการที่ผู้ซื้อซื้อไปเพื่อการอุปโภคบริโภคเองในครอบครัว  เพื่อตอบสนองความต้องการหรือสร้างความพึงพอใจแก่ตนเองหรือสามาชิกในครอบครัว  แตกต่างจากสินค้าเพื่ออุตสาหกรรม (Industrial  Good ) ที่ผู้ซื้อ ซื้อไปใช้งานภายในองค์กร  หรือซื้อไปใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการ  แล้วนำออกมาขายเพื่อแสวงหากำไร 
Import licence
        คือ ใบอนุญาตนำเข้าเป็นเอกสารที่ออกโดยรัฐบาลแห่งชาติอนุญาตการนำเข้าสินค้าบางอย่างลงในอาณาเขตของตน ใบอนุญาตนำเข้าจะถือว่าเป็นอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีการค้าเมื่อนำมาใช้เป็นวิธีการเลือกปฏิบัติต่อสินค้าของประเทศอื่นเพื่อที่จะปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการแข่งขันต่างประเทศ ใบอนุญาตแต่ละระบุปริมาณการนำเข้าที่ได้รับอนุญาตและการอนุญาตให้ใช้ปริมาณทั้งหมดไม่ควรเกินโควต้า . ใบอนุญาตสามารถขายให้กับ บริษัท นำเข้าในราคาที่แข่งขันหรือเพียงแค่ค่าใช้จ่าย แต่ก็เป็นที่ถกเถียงกันว่าวิธีการจัดสรรให้แรงจูงใจในการวิ่งเต้นทางการเมืองและการติดสินบน รัฐบาลอาจจะใส่ข้อ จำกัด บางประการเกี่ยวกับสิ่งที่จะนำเข้าเช่นเดียวกับจำนวนของสินค้าที่นำเข้าและ services.Eg หากธุรกิจมีความประสงค์จะนำเข้าสินค้าทางการเกษตรเช่นผักแล้วรัฐบาลอาจจะกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการนำเข้าดังกล่าวของตลาดในประเทศและ จึงนำข้อ จำกัด
Primary commodity
      คือ  สิ่งใดๆ  ที่สามารถนำเสนอขายให้แก่ตลาดเพื่อให้เกิดความพอใจ ความต้องการเป็นของเจ้าของ  เรียกให้มีการซื้อ  การใช้  หรือการบริโภค  ซึ่งเป็นสิ่งที่ (อาจจะ) ตอบสนองความต้องการและความจำเป็นของผู้ซื้อให้ได้รับความพอใจ

ข้อมูลจาก
www.customs.go.th
http://www.investopedia.com/terms/d/delivered-at-frontier.asp#ixzz1XEny6S6N
http://en.wikipedia.org/wiki/Import_quota
www.ismed.or.th/SME2/src/upload/.../11812887134669090994ecc.pdf
http://en.wikipedia.org/wiki/Foreign_direct_investment
www.ismed.or.th/SME2/src/upload/.../1181620823466e1a57bc2df.pdf
http://en.wikipedia.org/wiki/Import_license

Containerization

Containerization
Bulk Cargo คือ สินค้าทั่วไปที่ไม่สามารถจัดก็บเป็นหีบห่อได้ ส ซึ่งประกอบด้วย สินค้าแห้ง (Dry Bulk) และสินค้าเหลว (Liquid Bulk)  สินค้าหีบห่อ หรือสินค้าเทกองหรือรวมกอง
Claused bill  การเรียกเก็บเงิน   ใบตราส่งชนิดที่มีเงื่อนไข ซึ่งทางบริษัทเรือจะออกให้ตามคำบันทึกของกัปตันเรือ
Charter   นาม กฎบัตร สัญญาเช่า ธรรมนูญ กฎหมาย ใบอนุญาตกรรมสิทธิ์ สิทธิพิเศษ
 กริยา เหมา
Broken Stowage พื้นที่ๆสูญเสียไปจากการจัดเรียง o Lashing –การที่นำเชือกมายึด Cargo ไว้เพื่อไม่ให้สินค้าหล่น เป็นการ Secure สินค้า.
ship broker  ผู้แทนของบริษัทเดินเรือ; นายหน้าซื้อขายเรือ; ผู้ทำการประกันภัยทางทะเล
Belly cargo การขนส่งทางช่อง
back freight  การส่งคืนสินค้ากลับต้นทาง
Ship’s master  ต้นแบบของเรือ
Partial shipment   การจัดส่งสินค้าบางส่วน
Cargo carrier    ผู้ให้บริการขนส่งสินค้า
Dangerous goods  สินค้าอันตรา
Demurrage   การจอดเรือเกินกำหนด เก็บค่าจอดเกินเวลา


 Less than container load(LCL)
      ตู้สินค้าที่บรรจุสินค้าที่มีผู้ส่งและ/หรือผู้รับหลายรายในตู้สินค้าเดียวกันซึ่งแต่ละรายจะมีสินค้าอยู่มากน้อยเท่าใดก็ได้ แต่สินค้าทั้งหมดจะถูกนำไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน ความรับผิดชอบในการ บรรจุสินค้าในตู้สินค้าและ/ หรือนำสินค้าออกจากตู้สินค้าในลักษณะนี้จะอยู่กับผู้รับการขนส่งซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบริษัทเรือ บางครั้งในวงการเรือเรียกตู้สินค้าชนิดนี้ว่าเป็นตู้ CFS เพราะต้องมีการนำสินค้ามาผ่านโกดังจัดแยกชนิดสินค้าก่อนที่จะทำการบรรจุ ใส่ตู้สินค้าหรือ ส่งไปยังจุดหมายปลายทาง
FCL,Full Container Load 
         ตู้สินค้าที่บรรจุสินค้าที่มีผู้ส่งและ/หรือผู้รับเป็นเจ้าของรายเดียว อยู่ในตู้สินค้าเดียวกัน ส่วนมากความรับผิดชอบในการบรรจุสินค้าในตู้สินค้า และ/หรือนำสินค้าออกจากตู้สินค้าจะอยู่กับผู้ส่งและ/หรือผู้รับนั้นๆ  บางครั้งในวงการเรือเรียกตู้สินค้าขนิดนี้ว่าเป็นตู้
CY เพราะสามารถรับและ/หรือส่งตู้ชนิดนี้ได้โดยไม่ต้องผ่านโกดัง
Bagged cargo  สินค้าบรรจุถุง
Deck cargo     สินค้าที่บรรทุกบนปากระวาง


ข้อมูลจาก
www.patarapong-logistics.com/news_inside.php?news=28
http://www.tice.ac.th/Online/Online2-2548/bussiness/apinya/page2_7.htm
thewanderor.blogspot.com/2008/08/it211-containerlize.html
http://www.licdsrt.ob.tc/container%20word.html

Bill of Lading

Bill of Lading
ใบตราส่งสินค้า
  • เป็นตราสารที่ผู้รับขนสินค้าออกให้แก่ผู้ส่งสินค้า เพื่อแสดงว่าได้มีการรับสินค้าเพื่อนำส่งไปยังจุดหมายปลายทางที่ผู้ส่งสินค้ากำหนด ใบตราส่งสินค้ามีหลายชนิด เช่น
  • ใบตราส่งสินค้าทางทะเลเรียกว่า Ocean Bill of Lading ซึ่งมีลักษณะปลีกย่อยดังนี้ ใช้กับการขนส่งรวมรูปแบบต่อเนื่องหลายวิธีเข้าไว้ด้วยกัน เรียกว่า Multimodal Transport Document หรือ Combine Transportation Bill of Lading
  • ใช้ในการขนส่งที่ผู้รับสินค้าไม่ต้องนำต้นฉบับใบตราส่งไปขอรับสินค้า ซึ่งในทางปฏิบัติผู้รับสินค้าสามารถใช้สำเนาใบตราส่งไปขอรับใบสั่งปล่อยจากตัวแทนเรือได้ เรียกว่า Seaway Bill หรือ Express Bill ใบตราส่งประเภทนี้ผู้รับตราส่งจะต้องเป็นผู้นำเข้าโดยตรง และความรับผิดชอบของผู้รับขนส่งมีน้อยกว่าใบตราส่งประเภทอื่น
  • ใบตราส่งสินค้าทางอากาศเรียกว่า Air Way Bill
  • ใบตราส่งสินค้าทางรถไฟ เรียกว่า Railway Bill

บริการส่งสินค้าทางเรือ

 
ทางบริษัทมีบริการขนส่งทางเรือจากท่าเรือกรุงเทพถึงท่าเรือจุดหมายปลายทางทั่วโลก
โดยการขนส่งทางเรือ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1 ) ขนส่งทางเรือแบบไม่เต็มตู้ LCL
เป็นการขนส่งแบบรวมตู้กับลูกค้าท่านอื่น จึงต้องมีการแพคกิ้งอย่างดี
คิดราคาเป็นคิวบิกเมตร โดยคำนวณจาก Cubic Meter (CBM) = กว้าง x ยาว x สูง (ซม) / 1,000,000
2 ) ขนส่งทางเรือแบบเต็มตู้ FCL
เป็นการขนส่งแบบลูกค้าเหมาตู้ไปเองคนเดียว
คิดราคาตู้ขนาด 20"feet ( ประมาณ 28-32 CBM) , 40"feet ( ประมาณ 56-64 CBM) , 40 HQ  ( ประมาณ 64-72 CBM)


การขนส่งสินค้าทางทะเล

การขนส่งสินค้าทางทะเล เป็นส่วนประกอบที่สําคัญส่วนหนึ่งของ ระบบการค้าระหว่างประเทศ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต เพราะเป็นเพียงการขนส่งชนิดเดียวที่ขนสินค้าได้คราวละมากๆ และค่าระวางมีราคาถูกกว่าการขนส่งในรูปแบบอื่น ๆ จากรายงานของโครงการศึกษาแผนหลักการพาณิชยนาวี ของคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม รายงานฉบับสมบูรณ์ สิงหาคม 2542 ระบุว่า ประเทศไทยพัฒนาประเทศโดยอาศัยการค้าระหว่างประเทศมาโดยตลอด มีการนําเข้าและส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีมูลค่ามากกว่าร้อยละ 80 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) การขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกของไทยเป็นการขนส่งทางทะเลเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการขนส่งสินค้าทางทะเลจึงเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลก ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนําเข้าและส่งออกสินค้าจึงควรจะศึกษาและทําความเข้าใจในองค์ประกอบต่างๆ ที่สําคัญเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางทะเล ดังนี้คือ

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าทางทะเล
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าทางทะเล ได้แก่
• เจ้าของเรือ (SHIP OWNER)
• ผู้เช่าเรือ (SHIP CHARTERER)
• ตัวแทนสายเดินเรือ และตัวแทนผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (SHIPPING AGENT & FREIGHTFORWARDER)
• ผู้ส่งสินค้า (SHIPPER or EXPORTER)
• ผู้รับตราส่ง (CONSIGNEE)
• ผู้รับสินค้า (NOTIFY PARTY)

โครงสร้างค่าระวางเรือของ Liner Vessel มีลักษณะแตกต่างจาก Charter Vessel คือ
A. ค่าระวางของเรือ Liner หรือเรือประจําเส้นทาง
ค่าระวางของเรือวิ่งประจําเส้นทาง อัตราจะขึ้นอยู่กับระยะทางเส้นทางเดินเรือและตารางเวลา เรือวิ่งประจําเส้นทางโดยส่วนใหญ่จะเป็นเรือที่เป็นสมาชิกอยู่ในชมรมเดินเรือประจําเส้นทางนั้นๆ เช่น ชมรม
เดินเรือเอเชีย-อเมริกาเหนือ (Asia-North American Eastbound Rate Agreement - ANERA) อัตราก็จะใกล้เคียงกันทั้งหมด แต่ปัจจุบันมีเรือที่อยู่นอกชมรมเดินเรือมากขึ้น เรือเหล่านี้ก็จะมีอัตราค่าระวางน้อยกว่าเรือในชมรมเดินเรือ ค่าระวางของเรือวิ่งประจําเส้นทางประกอบไปด้วย
-  อัตราค่าระวางพื้นฐาน (Basic Freight Rate)
- เงินเก็บเพิ่มค่าปรับอัตราน้ำมันที่เพิ่มขึ้น (Bunker Adjustment Factor Surcharge- BAF)
- เงินเก็บเพิ่มค่าปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา(Currency Adjustment Factor Surcharge - CAF)
- นอกจากค่าระวางเรือแล้ว บริษัทเรือยังอาจเรียกเก็บค่าระวางพิเศษต่างๆ หรือค่าใช้จ่ายพิเศษที่ต้นทางได้อีกด้วย เช่น
1. ค่าขนถ่ายตู้สินค้าที่ท่าเรือ (Terminal Handling Charge - THC)
2. ค่าท่าคับคั่ง (Congestion Surcharge)
3. ค่าบรรจุสินค้าเข้าคอนเทนเนอร์ (Container Freight Station Charge - CFS Charge)
4. ค่าออกเอกสาร เป็นต้น
5. ซึ่งค่าระวางพิเศษต่างๆ หรือค่าใช้จ่ายพิเศษเหล่านี้บริษัทเรือเรียกเก็บในอัตราค่อนข้างสูง เช่น
-  ค่า CFS Charge สําหรับสินค้าที่ส่งไปสหรัฐอเมริกาและยุโรป เรียกเก็บในอัตรา 4,215 บาทต่อตู้ขนาด 20 ฟุต (อัตรา ณ เดือน สิงหาคม 2543) / 8,430 บาทต่อตู้ขนาด 40 ฟุต
-  ค่า THC สําหรับสินค้าที่ส่งไปสหรัฐอเมริกาและยุโรป เรียกเก็บในอัตรา 2,600 บาทต่อตู้ขนาด 20 ฟุต (อัตรา ณ เดือน สิงหาคม 2543) / 3,900 บาทต่อตู้ขนาด 40 ฟุต
6. ค่าระวางพิเศษหรือค่าใช้จ่ายพิเศษที่เรียกเก็บที่ต้นทางนี้เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนค่าใช้จ่ายที่บริษัทเรือต้องจ่ายออกไปแล้วนับว่าเป็นเงินที่เรียกเก็บในอัตราที่สูงมาก


บริการส่งสินค้าทางเรือ
ทางบริษัทมีบริการขนส่งทางเรือจากท่าเรือกรุงเทพถึงท่าเรือจุดหมายปลายทางทั่วโลก
โดยการขนส่งทางเรือ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1 ) ขนส่งทางเรือแบบไม่เต็มตู้ LCL
เป็นการขนส่งแบบรวมตู้กับลูกค้าท่านอื่น จึงต้องมีการแพคกิ้งอย่างดี
คิดราคาเป็นคิวบิกเมตร โดยคำนวณจาก Cubic Meter (CBM) = กว้าง x ยาว x สูง (ซม) / 1,000,000
2 ) ขนส่งทางเรือแบบเต็มตู้ FCL
เป็นการขนส่งแบบลูกค้าเหมาตู้ไปเองคนเดียว
คิดราคาตู้ขนาด 20"feet ( ประมาณ 28-32 CBM) , 40"feet ( ประมาณ 56-64 CBM) , 40 HQ  ( ประมาณ 64-72 CBM)

Bill of exchange

ตั๋วแลกเงิน (Bill of exchange) คือ ตราสารการเงินระยะสั้น ที่บุคคลรายหนึ่งสั่งให้บุคคลอีกรายหนึ่ง จ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในตั๋วแลกเงินนั้น ให้แก่บุคคลอีกรายหนึ่ง ในวันที่กำหนดบนหน้าตั๋วแลกเงินนั้น ตั๋วแลกเงินสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ในตลาดเงิน (money market) ส่วนใหญ่จะมีธนาคารหรือสถาบันการเงินค้ำประกัน หรือรับรอง หรือรับอาวัล หรือสลักหลังอย่างไม่มีเงื่อนไข ตั๋วเงินชนิดหนึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหนี้ มักใช้ในการซื้อขายสินค้าหรือกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคาร โดยทั่วไปสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้

การออกตั๋วแลกเงิน

แนวคิด

1. ตั๋วแลกเงินต้องมีรายการได้แก่ (1) คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน (2) คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนแน่นอน (3) ชื่อหรือยี่ห้อผู้จ่าย (4) ชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ และ (5) ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย หากรายการดังกล่าวขาดตกบกพร่องไป ย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน

2. วันถึงกำหนดของตั๋วแลกเงินก็คือ วันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋ว ซึ่งแยกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ (1) ตั๋วแลกเงินที่สั่งให้ใช้เงินเมื่อทวงถามหรือเมื่อได้เห็น (2) ตั๋วแลกเงินที่กำหนดเวลาให้ใช้เงิน

3. ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังตั๋วแลกเงินเกิดขึ้นโดยเงื่อนไขว่าผู้ทรงต้องยื่นตั๋วต่อผู้จ่ายก่อน ถ้าผู้จ่ายไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินและผู้ทรงจัดให้ทำคำคัดค้านแล้วผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังจะใช้เงินแก่ผู้ทรง

4. ข้อกำหนดลบล้างหรือจำกัดความรับผิดและข้อกำหนดลดหน้าที่ของผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังตั๋วแลกเงินแยกได้ 2 ประการ ได้แก่ (1) ข้อกำหนดลบล้างหรือจำกัดความรับผิดของผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังที่มีต่อผู้ทรง (2) ข้อกำหนดลดหน้าที่ของผู้ทรงที่มีต่อผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลัง


รายการในตั๋วแลกเงิน

ตั๋วแลกเงิน หมายถึง หนังสือตราซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้สั่งจ่าย” สั่งบุคคลอีกคนหนึ่งที่เรียกว่า “ผู้จ่าย” ให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลคนหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ผู้รับเงิน” ตั๋วแลกเงินจึงเป็นคำสั่งให้จ่ายเงินนั่นเอง

อนุมาตรา (1) คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน

คำบอกชื่อว่าตั๋วแลกเงินมีความหมายสำคัญเพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องรู้เห็นทราบได้ทันทีว่าตราสารนั้นเป็นตราสารพิเศษ และเนื่องจากเมื่อตราประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้น ตั๋วเงินเป็นของใหม่ไม่สู้แพร่หลาย จึงต้องบัญญัติให้ระบุลงไปในตั๋วให้ชัดแจ้งว่าเป็นตั๋วแลกเงิน ประกอบกับ Uniform Law (1930) ซึ่งเราอาศัยเป็นหลักในการร่างกฎหมายลักษณะตั๋วเงิน

สำหรับตั๋วแลกเงินมาจากต่างประเทศ อาจไม่มีคำว่า ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) เพราะบางประเทศ กฎหมายของเขาไม่บังคับให้ต้องระบุดังในมาตรา 909 (1) อย่างไรก็ดี คำบอกชื่อว่าตั๋วแลกเงินไม่จำเป็นต้องเขียนที่หัวกระดาษ อาจเป็นข้อความในตั๋วเงินว่า first of exchange ก็ได้

อนุมาตรา (2) คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนแน่นอน

รายการนี้เป็นข้อบังคับเด็ดขาด ถ้าขาดไปจะไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน (มาตรา 910) ตามรูปตัวอย่างตั๋วแลกเงินคือ “โปรดจ่ายเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาท” ถ้าไม่กรอกจำนวนเงินเสียเลยหรือกรอกจำนวนเงินมิได้เป็นไปตามที่ผู้สั่งจ่ายขอร้อง ตั๋วแลกเงินนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ อธิบายแยกได้เป็น 3 หัวข้อ คือ

ก. คำสั่ง หมายความว่า เป็นคำบงการหรือคำบอก เพื่อให้ทำหรือให้ปฏิบัติโดยไม่ให้โอกาสเลือกทำหรือเลือกปฏิบัติของผู้รับคำสั่งและมิใช่เพียงแต่คำขอร้องหรือคำอ้อนวอนที่ผู้รับคำขอร้องหรือคำอ้อนวอนจะทำตามหรือไม่ก็ได้ อย่างไรก็ดี “คำสั่ง” ก็ไม่จำต้องเขียนลงไปในตัวแลกเงินตรงๆ ว่า “ข้าพเจ้ามีคำสั่งให้จ่ายเงิน” เพราะอาจใช้ถ้อยคำสุภาพลงไปในคำสั่งนั้นได้ เช่น “โปรดจ่ายเงิน” ซึ่งจะไม่ทำให้ตั๋วแลกเงินฉบับนั้นเสียไปเพราะมีความหมายเป็นข้อความกำหนดให้จ่ายเงินโดยผู้จ่ายไม่มีโอกาสเลือกจ่ายหรือไม่จ่ายตามอัธยาศัยของผู้จ่ายเช่นเดียวกัน

ข. อันปราศจากเงื่อนไข หมายความว่า ลักษณะสำคัญที่สุดของตั๋วแลกเงิน คือ ความแน่นอนที่ตั๋วแลกเงินจะต้องได้รับการจ่ายเงินตามตั๋วนั้น จะมีเงื่อนไขในการคำสั่งให้จ่ายเงิน ตั๋วแลกเงินนั้นย่อมเกิดความไม่แน่นอนขึ้น คำว่าเงื่อนไข หมายความว่า เหตุการณ์อันใดอันหนึ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตและไม่แน่นอน (เทียบมาตรา 182 เติมมาตรา 144) จึงต่างกับเงื่อนเวลา ซึ่งจะต้องมาถึงในอนาคตอย่างแน่นอน ดั้งนั้น ข้อความในคำสั่งให้จ่ายเงินจะเป็นเงื่อนไขหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงความแน่นอนหรือไม่แน่นอนของเหตุการณ์ที่กำหนดไว้ในคำสั่งนั่นเอง

ค. ให้จ่ายเงินเป็นจำนวนแน่นอน หมายความว่า คำสั่งในตั๋วแลกเงินต้องเป็นคำสั่งจ่ายเงินถ้าเป็นคำสั่งให้กระทำการอย่างอื่นนอกจากเงินแล้วจะไม่ใช่ตั๋วแลกเงิน แต่ถ้ามีคำสั่งว่าให้จ่ายเงินและสิ่งของอื่นควบไปด้วย คงมีผลเฉพาะคำสั่งให้จ่ายเงินเท่านั้น ส่วนคำสั่งที่ให้จ่ายสินค้าที่ระบุไว้ ย่อมไม่มีผลแก่ตั๋วแลกเงิน (มาตรา 899) และถ้ามีคำสั่งให้ผู้รับตั๋วแลกเงินเลือกเอาว่าจะรับเงินหรือรับสิ่งของอื่นแทน ดังนี้น่าจะทำไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นคำสั่งที่ไม่แน่นอน คำว่า “เงิน” หมายถึง เงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติเงินตรา ตั๋วแลกเงินโดยมากใช้ในระหว่างประเทศ ดังนั้น จึงสั่งจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศก็ได้ (มาตรา 196) คำว่า “เงินจำนวนแน่นอน” หมายความว่า ต้องเป็นเงินจำนวนที่เที่ยงแท้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปทางเพิ่มหรือทางลดลงได้

อนุมาตรา (3) ชื่อหรือยี่ห้อผู้จ่าย

รายการข้อนี้บังคับเด็ดขาด ถ้าขาดตกบกพร่องให้ถือว่าไม่เป็นตั๋วแลกเงิน (มาตรา 910)

ผู้จ่าย คือ ผู้รับคำสั่งให้ใช้เงินตามตั๋วแลกเงิน จึงจำเป็นที่ผู้สั่งจ่ายต้องระบุชื่อผู้จ่ายไว้ในตั๋วแลกเงิน ผู้จ่ายอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ และอาจเป็นบุคคลเดียวหรือหลายคนร่วมกันจ่ายเงินก็ได้ เว้นแต่คำสั่งให้บุคคลหลายคนจ่ายเงินเรียงตามลำดับก่อนหลังโดยไม่ระบุให้รับผิดร่วมกัน หรือคำสั่งให้เลือกผู้จ่ายจากบุคคลหนึ่งบุคคลใดในหลายคนที่ระบุโดยไม่ระบุให้บุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดร่วมกันจ่ายเงิน ย่อมทำให้ไม่ทราบตัวผู้จ่ายที่แน่นอนทำให้ตั๋วแลกเงินนั้นเสียไป

การระบุชื่อจ่าย อาจระบุเพียงตำบลที่อยู่ซึ่งเข้าใจกันก็ได้ การระบุชื่อผู้จ่ายที่ไม่มีตัวตนหรือสมมติขึ้น ก็ไม่ทำให้ตั๋วแลกเงินเสียไป เพราะมีรายการชื่อผู้จ่ายแล้ว และตั๋วแลกเงินไม่มีตัวผู้จ่าย ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อผู้ทรง ส่วนยี่ห้อเป็นชื่อที่บุคคลใช้ในการค้า ไม่เป็นนิติบุคคล การระบุยี่ห้อเป็นผู้จ่ายต้องเข้าใจว่าหมายถึงบุคคลใด ถ้าไม่อาจทราบได้ ก็เท่ากับไม่มีตัวผู้จ่าย ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อผู้ทรง ผู้จ่ายอาจเป็นบุคคลเดียวกันกับผู้สั่งจ่ายตามที่ มาตรา 912 วรรคสอง บัญญัติว่า “ตั๋วแลกเงินจะสั่งจ่ายเอาจากตัวผู้สั่งจ่ายเองก็ได้”

อนุมาตรา (4) วันถึงกำหนดใช้เงิน

วันถึงกำหนดใช้เงิน ย่อมเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ คือ

1. ในวันใดวันหนึ่งที่กำหนดไว้

2. เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋วนั้น

3. เมื่อทวงถามหรือเมื่อได้เห็น

4. เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่ได้เห็น

รายการนี้ถ้าไม่ระบุไว้ ไม่ทำให้ตั๋วแลกเงินเสียไป แต่กฎหมายให้ถือว่าพึงใช้เงินเมื่อได้เห็น (มาตรา 910 วรรคสอง)

อนุมาตรา (5) สถานที่ใช้เงิน

สถานที่ใช้เงินนั้น ตามความคิดธรรมดาที่ระบุไว้ก็เพื่อผู้ทรงจะได้รู้ตำแหน่งแห่งที่ในการที่จะเอาตั๋วไปขึ้นเงิน แต่ในกฎหมายตั๋วเงินนั้น ผู้จ่ายยังมิได้เข้าเป็นคู่สัญญาในตั๋วแลกเงิน สถานที่ใช้เงินจึงมีความสำคัญที่ผู้ทรงจะยื่นตั๋วแลกเงินเพื่อให้ผู้จ่ายรับรองหรือเพื่อเรียกร้องให้ผู้จ่ายใช้เงิน ณ ที่ใดตามที่กำหนดไว้ในตั๋วแลกเงินนั้น ถ้าไม่มีสถานที่ใช้เงินตามที่ระบุผู้ทรงต้องทำการคัดค้านไว้ (ม. 962) จึงจะไม่เสียสิทธิไล่เบี้ย (ม. 973) กรณีที่ไม่ได้แถลงไว้ในตั๋วแลกเงิน มาตรา 910 วรรคสาม “ท่านให้ถือเอาภูมิลำเนาผู้จ่ายเป็นสถานที่ใช้เงิน”

อนุมาตรา (6) ชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงินหรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ

รายการข้อนี้บังคับเด็ดขาด ถ้าขาดตกบกพร่องไปย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน ความสำคัญของชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงินคือ ทำให้ผู้จ่ายทราบว่าจะจ่ายเงินให้แก่ใคร จะเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาก็ได้ จะเป็นชื่อจริงหรือชื่อสมมุติ หรือตำแหน่งก็ได้ (ถ้าเป็นชื่อสมมุติและไม่มีตัวจริง กฎหมายอังกฤษให้จ่ายแก่ผู้ถือ แต่ของไทยไม่ได้ใช้อย่างนั้น)

อนุมาตรา (7) วันและสถานที่ออกตั๋วเงิน

ก. วันออกตั๋วเงิน หมายความถึงวันที่ระบุในตั๋วเงินนั้นได้ออกเมื่อใด ซึ่งกฎหมายไม่ได้ระบุว่าต้องใช้ “ตามวันแห่งปฏิทิน” ดังนั้นอาจระบุอย่างอื่นได้ เช่น วันเข้าพรรษา ปี 2537 หรือ วันเฉลิมพระชนมพรรษา ปี 2538 เป็นต้น ความสำคัญ คือ

1) แสดงให้รู้กำหนดอายุของตั๋วเงิน ตามชนิดต่าง ๆ เช่น ชนิดใช้เงินเมื่อเห็น หรือ เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่ได้เห็นว่า ผู้ทรงต้องนำตั๋วยื่นให้ผู้จ่ายใช้เงินหรือรับรองภายในกำหนด

2) ตั๋วเงินชนิดที่ให้ใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋วเงินนั้น วันออกตั๋วเงินมีความสำคัญที่จะต้องระบุไว้ในตั๋วนั้น

3) ต้องใช้ในการคำนวณดอกเบี้ย

- บุคคลที่จะลงวันออกตั๋วเงิน มีได้ 2 คน คือ (1) ผู้สั่งจ่าย (2) ผู้ทรง

1) กรณีผู้สั่งจ่ายเป็นผู้ลงวันออกตั๋วเงิน : ผู้สั่งจ่ายสามารถตั้งใจลงวันให้ผิดความจริงได้ คือ ลงวันย้อนต้น ลงวันถัดไป หรือ ลงวันล่วงหน้า ก็ได้

2) กรณีผู้ทรงเป็นผู้ลงวันออกตั๋วเงิน : ม. 910 วรรคห้า “ถ้ามิได้ลงวันออกตั๋ว ท่านว่าผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใดทำการโดยสุจริตจะจดวันตามที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้” และ มาตรา 932 วรรคแรก “ตั๋วแลกเงินฉบับใดเขียนสั่งให้ใช้เงินในกำหนดระยะเวลาอย่างใดอย่างหนึ่งนับแต่วันที่ลงในตั๋วเงินนั้น แต่หากมิได้ลงวันไว้ ฯลฯ ท่านว่าผู้ทรงจะจดวันออกตั๋ว ฯลฯ ลงตามที่แท้จริงก็ได้ แล้วพึงให้ใช้เงินตามนั้น” หมายความว่า ในกรณีที่ผู้สั่งจ่ายมิได้ลงวันออกตั๋วเงินไว้เลย ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายหรือผู้ทำการแทนผู้ทรงโดยชอบย่อมมีสิทธิที่จะจดวันออกตั๋วได้ แต่ต้องเป็นการจดวันตามที่ถูกต้องแท้จริงและการจดวันนั้นต้องจดโดยสุจริต คือ จดตามวันที่ผู้ทรงเชื่อหรือเข้าใจว่าเป็นวันที่ถูกต้องนั่นเอง

ถ้าผู้ทรงจดวันลงไปไม่ตรงตามที่เป็นจริง ที่เรียกว่า ลงวันคลาดเคลื่อนหรือลงวันผิดนั้น ไม่ว่าผู้ทรงจะสุจริตหรือไม่สุจริตก็ตาม ถ้าตั๋วเงินนั้นโอนต่อไปยังผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนถัดไปแล้ว ก็ต้องบังคับตาม ม. 932 วรรคสอง “อนึ่ง ท่านบัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่ผู้ทรงทำการโดยสุจริตแต่ลงวันคลาดเคลื่อนไปด้วยสำคัญผิดและในกรณีลงวันผิดทุกสถาน หากว่าในภายหลังตั๋วเงินนั้นตกไปยังมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ท่านให้คงเป็นตั๋วเงินที่ใช้ได้และพึงใช้เงินกันเหมือนดั่งว่าวันที่ได้จดลงนั้นเป็นวันที่ถูกต้องแท้จริง” ที่กล่าวมาในข้อ 2 นี้เป็นกรณีที่ผู้สั่งจ่ายไม่ได้ลงวันออกตั๋วไว้เลย

ข. สถานที่ออกตั๋วเงิน รายการนี้ไม่บังคับเด็ดขาด ม. 910 วรรคสี่ “ถ้าตั๋วแลกเงินไม่แสดงให้ปรากฏสถานที่ออกตั๋ว ท่านให้ถือว่าตั๋วเงินนั้นได้ออก ณ ภูมิลำเนาของผู้สั่งจ่าย”

ความสำคัญคือ เพื่อให้รู้ว่าเป็นตั๋วเงินภายในประเทศหรือตั๋วเงินออกมาแต่ต่างประเทศ และให้รู้ที่อยู่ผู้สั่งจ่ายในกรณีตั๋วเงินขาดความเชื่อถือโดยผู้จ่ายไม่รับรองหรือไม่ยอมใช้เงิน ผู้ทรงจะได้หาตัวผู้สั่งจ่ายพบ หรือจะได้ส่งคำบอกกล่าวได้ (ม. 963)

อนุมาตรา (8) ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

รายการนี้บังคับเด็ดขาด ถ้าขาดย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน (ม. 910)

ม. 9 “เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือบุคคลผู้จะต้องทำหนังสือไม่จำเป็นต้องเขียนเอง แต่หนังสือนั้นต้องลงลายมือชื่อของบุคคลนั้น”

ม. 900 วรรคสอง “ถ้าลงเพียงแต่เครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น แกงได หรือลายพิมพ์นิ้วมือ อ้างเอาเป็นลายมือชื่อในตั๋วเงินไซร้ ถึงแม้ว่าจะมีพยานลงชื่อรับรองก็ตาม ท่านว่าหาให้ผลเป็นลงลายมือชื่อในตั๋วเงินไม่”

9.1.2 วันถึงกำหนดของตั๋วแลกเงิน

วันถึงกำหนดของตั๋วแลกเงิน คือ วันถึงกำหนดใช้เงิน

ม. 913 “อันวันถึงกำหนดของตั๋วแลกเงินนั้นท่านว่าย่อมเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ในวันใดวันหนึ่งที่กำหนดไว้ หรือ

(2) เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋วนั้น หรือ

(3) เมื่อทวงถามหรือเมื่อได้เห็น หรือ

(4) เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่ได้เห็น”แบ่งเป็น 2 ชนิด

ก. ตั๋วแลกเงินที่สั่งให้ใช้เงินเมื่อทวงถามหรือเมื่อได้เห็น (ตาม ม. 913 (3))

- ตั๋วที่ให้ใช้เงินเมื่อเห็น นั้นผู้ทรงต้องยื่นให้ใช้เงินภายในหกเดือน นับแต่วันที่ลงในตั๋วนั้น ม. 944, 928

- ตั๋วที่ให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม นั้น ผู้ทรงยื่นตั๋วทวงถามให้ใช้เงินเมื่อใดผู้จ่ายต้องใช้เงินทันที ผู้ทรงเก็บตั๋วไว้ได้นาน อาจจะเป็นสิบปี ตามใดที่ไม่ทวงถาม กำหนดอายุความยังไม่มี อายุความยังไม่เริ่มนับตาม ม. 1001, 1002 นัย ฎ. 404/2515 เว้นแต่เช็ค ม. 990 “ผู้ทรงต้องยื่นเช็คต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน คือว่าถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่นภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คนั้น ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่นต้องยื่นภายในสามเดือน ถ้ามิฉะนั้น ท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิจะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายด้วย เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้น”

ข. ตั๋วแลกเงินที่มีกำหนดเวลาให้ใช้เงิน (ตาม ม. 913 (1) (2) (4))แบ่งเป็น 3 ชนิด

(1) ตั๋วแลกเงินที่สั่งให้ใช้เงินในวันใดวันหนึ่งที่กำหนดไว้ (ตาม ม. 913 (1)) : ปกติจะกำหนดตามวันแห่งปฏิทิน แต่กฎหมายไม่ได้กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ว่า “ตามวันแห่งปฏิทิน” จึงอาจกำหนดเป็นวันอื่นที่แน่นอนได้

(2) ตั๋วแลกเงินที่สั่งให้ใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋วนั้น ตาม ม. 913 (2)

(3) ตั๋วแลกเงินที่สั่งให้ใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่ได้เห็น ตาม ม. 913 (4) : ผู้ทรงต้องยื่นตั๋วให้เห็นก่อนจึงจะเริ่มนับวัน

ที่มาhttp://www.panyathai.or.th/wiki/index.php